

แม้ว่าในช่วงนี้เกษตรกรทั่วประเทศยังเผชิญกับปัญหาภัยแล้งที่ยาวนานกว่าปีก่อนๆ แต่ชำนาญ เพ็ชรปานกัน และ ระเบียบ ปทุมสูตร รวมทั้งเกษตรกรชาวไร่อ้อยอีกกว่า 10 รายที่มีไร่อ้อยรอบฟาร์มสุกรกาญจนบุรี อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี ยังคงยิ้มได้ เพราะไม่ต้องกังวลว่าอ้อยของตนเองจะตาย หรือผลผลิตเสียหายจากต้นอ้อยขาดน้ำนานเกินไป เนื่องจากเกษตรกรไร่อ้อยกว่า 10 รายกลุ่มนี้ รวมถึงเกษตรกรรอบฟาร์มสีเขียวของซีพีเอฟในหลายพื้นที่ ต่างได้รับการแบ่งปัน “น้ำปุ๋ย” จากฟาร์มสุกรสีเขียวของซีพีเอฟที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อนำมารดพืชผลทางการเกษตรของตนเอง ไม่เพียงช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดน้ำ แต่ยังช่วยเพิ่มผลผลิตอีกด้วย
“น้ำปุ๋ย” เป็น น้ำที่เกษตรกรเรียกกันติดปากนั้น ที่จริงมาจากน้ำที่ปนมูลสุกรที่ผ่านการบำบัดด้วยระบบไบโอแก๊ส และออกมาพักในบ่อตกตะกอนในบ่อสุดท้าย เป็นน้ำที่มีคุณภาพตามมาตรฐานน้ำที่ผ่านกระบวนการบำบัดของกรมควบคุมมลพิษซึ่งให้สามารถปล่อยสู่ชุมชนได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการฟาร์มเลี้ยงสัตว์ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ให้เป็นฟาร์มสีเขียว โดยมี ฟาร์มกาญจนบุรี ที่เป็นฟาร์มต้นแบบที่มีการวางผังฟาร์มอย่างเหมาะสมแยกส่วนการเลี้ยงสัตว์ ที่พัก สำนักงานออกจากกัน ใช้กระบวนการผลิตที่ทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อผลิตสุกรปลอดโรค ปลอดสาร ปลอดภัย รวมทั้งลดผลกระทบต่อชุมชน
นายวิโรจน์ ใจบุญมา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กิจการผลิตสุกรภาคตะวันตก ฟาร์มสุกรกาญจนบุรี ตั้งอยู่บนพื้นที่ 306 ไร่ ต.สระลงเรือ อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี กล่าวว่า ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ถือเป็นหนึ่งในกิจการสำคัญของซีพีเอฟ มีพื้นที่อยู่ใกล้กับชุมชน บริษัทจึงมุ่งมั่นพัฒนาการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมภายในฟาร์มและต่อยอดสู่ชุมชนรอบข้างมาโดยตลอด ด้วยแนวคิด “องค์กรอยู่ได้ ชุมชนอยู่ได้” โดยภายในฟาร์มมีการจัดการเรื่องกลิ่น แมลงวัน และของเสีย ด้วยระบบฟอกอากาศท้ายโรงเรือน และระบบไบโอแก๊ส และการดำเนินงานตามมาตรฐานสากลในการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO14001 การจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม หรือ SHE (Safety Health & Environment) เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
นายวิโรจน์กล่าวว่า ประโยชน์ที่ฟาร์มได้ส่งต่อถึงชุมชนที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ การแบ่งปัน “น้ำปุ๋ย” ให้แก่พี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยที่อยู่รอบฟาร์มกาญจนบุรี เนื่องจาก พื้นที่รอบฟาร์มกาญจนบุรี เป็นพื้นที่อยู่นอกเขตชลประทาน บางปีมีฤดูแล้งที่กินระยะเวลานาน การแบ่งปันน้ำปุ๋ยจึงเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวไร่อ้อยรอบฟาร์มเพราะขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง และยังช่วยเกษตรกรลดต้นทุนค่าปุ๋ยอีกด้วย จนถึงทุกวันนี้ มีเกษตรกรปลูกอ้อยกว่า 10 ราย รวมพื้นที่ประมาณ 500 ไร่ ใช้น้ำปุ๋ยจากฟาร์มกาญจนบุรีมากว่า 5-6 ปีอย่างต่อเนื่อง
นายชำนาญ เพ็ชรปานกัน หนึ่งในเกษตรกรไร่อ้อยที่ขอแบ่งปันน้ำจากฟาร์มมาใช้ในไร่ของตนเองกว่า 60 ไร่เพราะเดือดร้อนจากไม่มีน้ำรดต้นอ้อย กล่าวว่า พื้นที่ไร่อ้อยในแถบนี้อยู่นอกเขตชลประทานในฤดูแล้งจึงไม่มีน้ำรดต้นอ้อย ทำให้บางปีประสบความเสียหายจากอ้อยตาย หลังจากที่ได้ใช้ “น้ำปุ๋ย” จากฟาร์มรดต้น
อ้อย นอกจากต้นอ้อยจะไม่เสียหายแล้ว ผลผลิตยังดีขึ้น จึงใช้น้ำปุ๋ยจากฟาร์มกาญจนบุรีติดต่อกันมากว่า 5 ปีแล้ว สิ่งที่คุณชำนาญเห็นความเปลี่ยนแปลง คือ ผลผลิตของอ้อยเพิ่มขึ้นเป็น 15 ตันต่อไร่ จากเดิมทำได้ 6-7 ตันต่อไร่ และลดการใช้ปุ๋ยเคมีลงครึ่งหนึ่งซึ่งช่วยลดต้นทุนอีกทางหนึ่งด้วย และสิ่งที่คุณชำนาญตั้งใจทำต่อไปคือจะปรับพื้นดินของไร่อ้อยให้สม่ำเสมอ เพื่อให้น้ำปุ๋ยไหลเข้าทั่วพื้นที่ปลูกทั้งผืน ซึ่งจะช่วยให้ผลผลิตเพิ่มถึง 20 ตันต่อไร่เหมือนเพื่อนเกษตรกรข้างเคียงทำได้
กำนันระเบียบ ปทุมสูตร เกษตรกรปลูกอ้อย 100 กว่าไร่ และใช้น้ำปุ๋ยจากฟาร์มตั้งแต่ปีแรกๆ เล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่ตนใช้น้ำปุ๋ย ต้นอ้อยแตกกอดี แข็งแรง และจากการปรับพื้นที่ให้สม่ำเสมอ ต้นอ้อยได้รับน้ำปุ๋ยอย่างทั่วถึง ส่งผลให้ตนสามารถเก็บเกี่ยวอ้อยได้สูงถึง 20 ตันต่อไร่ ขณะเดียวกัน เมื่อส่งไปโรงหีบอ้อย ความหวานในอ้อยที่วัดได้ก็อยู่ในระดับ 10 กว่า และที่สำคัญช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมี เพราะการรดต้นอ้อยด้วยน้ำปุ๋ย ได้ทั้งน้ำ และปุ๋ย บำรุงต้นอ้อยไปพร้อมๆ กัน นอกจากนี้ ชาวบ้านยังได้เชิญหมอดินประจำอำเภอมาตรวจสภาพดินพบว่าดินที่ใช้น้ำปุ๋ยมาหลายปีมีสภาพเป็นกลาง ช่วยให้เกษตรกรมั่นใจที่จะใช้น้ำปุ๋ยต่อไป
ส่วนแปลงอ้อยของนางสุพิน ถาวรชีวิน เกษตรกรที่เพิ่งมาปลูกอ้อยได้ประมาณ 3 ปีและนำน้ำปุ๋ยมาใช้กับไร่อ้อยตั้งแต่ปีแรก กล่าวว่า ตนเห็นผลผลิตอ้อยของเพื่อนเกษตรกรได้ผลดี จึงขอใช้น้ำปุ๋ยบ้าง นอกจากผลผลิตดีแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าปุ๋ยเคมีได้มาก และสังเกตเห็นว่า ดินที่รดน้ำปุ๋ยยังดีและร่วนซุยขึ้นอีกด้วย
นายวิโรจน์กล่าวว่า จากการศึกษาธาตุอาหารที่อยู่ในน้ำปุ๋ย พบว่า ใน “น้ำปุ๋ย” มีสารอาหารสำหรับพืชผล 2 ตัวหลัก คือ โพแทสเซียม และไนโตรเจน (โพแทสเซียม มี 297 มิลลิกรัมต่อน้ำ 1 กิโลกรัม ส่วนไนโตรเจนมี 154 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) โดยเฉพาะโพแทสเซียมป็นแร่ธาตุที่เหมาะกับพืชตระกูลอ้อย ช่วยให้อ้อยเติบโตดี และช่วยความหวานของอ้อยอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ส่วนไนโตรเจน เป็นธาตุอาหารที่ช่วยบำรุงต้นและใบอ้อยให้เขียว และแตกกอดีอีกด้วย นอกจากนี้ ในน้ำปุ๋ยก็ยังมีแร่ธาตุอื่นปนอยู่ซึ่งล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อพืชทั้งสิ้น อาทิ โซเดียม แมกนีเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส
ลุงจุลย์ พรมน่วม เกษตรกรที่นำน้ำปุ๋ยจากฟาร์มปราจีนบุรี 1 ของซีพีเอฟ มารดไผ่ตงและมันสำปะหลังมา 4-5 ปี ก็ยืนยันว่า น้ำปุ๋ยช่วยให้ไผ่ตงมีผลผลิตที่ดี สามารถลดการใช้ปุ๋ยได้ถึงครึ่งหนึ่งจากเดิม ส่วนมันสำปะหลัง ก็เห็นผลดีดีมาก หัวมันขนาดใหญ่ขึ้น และน้ำปุ๋ยยังช่วยให้ดินร่วนซุย ทำให้ขุดหัวมันง่ายขึ้น ช่วยลดระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวให้สั้นลง
นายวิโรจน์กล่าวต่ออีกว่า โดยปกติ ฟาร์มกาญจนบุรีรวมถึงฟาร์มสุกรทุกแห่งของซีพีเอฟจะไม่ปล่อย “น้ำปุ๋ย” ออกจากฟาร์ม เพื่อป้องกันแหล่งน้ำธรรมชาติในชุมชนจะได้รับผลกระทบ ดังนั้น การนำน้ำปุ๋ยไปใช้ของเกษตรกรทั้ง 10 กว่าราย มีการทำหนังสือบันทึกการนำน้ำปุ๋ยไปใช้อย่างชัดเจนทุกครั้ง โดยมีระยะวันที่นำน้ำไปใช้ และข้อกำหนดการใช้น้ำต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การระวังไม่ให้น้ำปุ๋ยเข้าไปปนเปื้อนในคูคลองธรรมชาติ ซึ่งที่ผ่านมา จากความมุ่งมั่นของซีพีเอฟในการพัฒนามาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสัตว์เป็นฟาร์มสีเขียว ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีการนำทรัพยากรมาใช้อย่างคุ้มค่า และยังสร้างประโยชน์ต่อชุมชนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ฟาร์มซีพีเอฟทุกแห่งสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างมีความสุขเสมอมา./