

ในรอบปีที่ผ่านมาต้องถือว่า บริษัทสัญชาติไทยอย่าง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ สามารถเดินเกมรุกในฐานะผู้นำครัวไทยสู่ครัวโลกอย่างสมศักดิ์ศรี ไม่ว่าจะเป็นแผนการสร้างความแข็งแกร่งร่วมกับ บริษัท อิโตชู คอร์ปอร์เรชั่นฯ ผู้นำการค้าใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น หลังอิโตชูตกลงเข้าซื้อหุ้น CPP 25% เพื่อสร้างฐานและขยายธุรกิจที่มั่นคงระหว่าง 2 บริษัท นอกจากนั้น เพื่อขยายฐานการผลิตอาหารที่แข็งแกร่ง ซีพีเอฟยังทำสัญญาซื้อขายกับต่างประเทศถึง 2 ดีล ดีลแรกคือ การเข้าซื้อธุรกิจ ท๊อปส์ ฟู้ดส์ (Tops Foods) ผู้นำด้านการผลิตอาหารยักษ์ใหญ่ในประเทศเบลเยียมซึ่งผลิตและจำหน่ายอาหารพร้อมปรุงพร้อมรับประทาน โดยไม่ต้องห่วงเรื่องค่าขนส่งจากเมืองไทย โดยเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 80% และอีกดีลคือการเข้าซื้อกิจการฟาร์มหมูในรัสเซีย ราคา 3,000 ล้านบาท
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เผยกลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรสู่ครัวโลก โดยย้ำว่านอกจากพลังบุคลากรแล้ว ปัจจัยด้านเงินทุนและเทคโนโลยี ก็เป็น ตัวแปรสำคัญในการสร้างบริษัทให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน นอกจากนั้น หากได้รับโอกาสการลงทุนและการตอบรับที่ดีจากรัฐบาลในประเทศต่างๆที่บริษัทเข้าไปลงทุนด้วยแล้ว ก็ช่วยเสริมให้ครัวไทยก้าวสู่ครัวโลกอย่างไม่ยากเย็น
“เวลาที่บริษัทจะเข้าไปลงทุน อันดับแรก คือ เราต้องสำรวจตลาดและเล็งเห็นโอกาสในการลงทุน อันดับสองคือ ในการเข้าไปลงทุนในประเทศไหนก็ตาม เราต้องประเมินว่า รัฐบาลของประเทศนั้นส่งเสริมการลงทุนหรือว่ากีดกัน หากไม่ส่งเสริมการลงทุนก็ไม่มีประโยชน์ สองอันนี้ถือเป็นปัจจัยหลัก เมื่อบริษัทมองเห็นโอกาสและรัฐบาลให้การสนับสนุน จากนั้นเราต้องมากลับมาสำรวจปัจจัยภายในของเรา 3 ประการ คือ 1.เงินทุน เรามีทุนพอหรือไม่ 2.เทคโนโลยี เรามีเทคโนโลยีผลิตสินค้าแล้วมีความโดดเด่นแตกต่างจากคู่แข่งเราหรือไม่ 3.บุคลากร เรามีกำลังบุคลากรที่จะเข้าไปบริหารหรือไม่ ซึ่งบุคลากรถือเป็นพลังหลักขององค์กร” คุณ อดิเรก กล่าว
ปัจจุบันซีพีเอฟมีพนักงานทั้งหมดเกือบ 100,000 คน ทั้งในเมืองไทย และ 13 ประเทศ ที่บริษัทเข้าไปลงทุน โดยบริษัทให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากรในทุกระดับ ด้วยเชื่อว่า พลังบุคลากรจะนำองค์กรสู่ความสำเร็จ หากเทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกัน บริษัทยึดนโยบายที่จะให้ผลตอบแทนเทียบเท่า หรือ สูงกว่าเพื่อสร้างแรงจูงใจ
คุณ อดิเรก เผยว่า “ผมเชื่อว่าองค์กรที่ประสบความสำเร็จต้องสามารถดึง คนดี และ คนเก่ง มาร่วมงาน เพราะงานจะสำเร็จได้ด้วยคน และผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล วางกลยุทธ์ที่ถูกต้อง อยู่ในวัฒนธรรมอันเดียวกัน เป็นวัฒนธรรมแบบ ซีพีเอฟเวย์ ที่ทุกคนยึดมั่นบนค่านิยม 6 ประการ คือ 1.หลักปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน ต้องคำนึงผลประโยชน์ของ ประเทศชาติ ประชาชน และ สุดท้าย คือ บริษัท
2.ทำเร็วและมีคุณภาพ 3.ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย 4.ยอมรับการเปลี่ยนแปลง 5.สร้างสรรค์สิ่งใหม่ 6.มีคุณธรรม ความซื่อสัตย์ และ รู้จักตอบแทนบุญคุณ เราจึงเป็นองค์กรที่เชื่อมั่นในเรื่องคนและให้ความสำคัญต่อคน”
นอกจากนั้น พลังบุคลากรในการสร้างองค์กรแล้ว คุณอดิเรกเชื่อว่า หากบริษัทให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเทคโลโลยีและนวัตกรรม เชื่อต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพลังสร้างสรรค์จากภายใน บริษัทจะสามารถผลิตสินค้าได้โดดเด่นกว่าคู่แข่ง มีต้นทุนถูกกว่าคู่แข่ง ฉะนั้นเรื่องเทคโนโลยี, การวิจัยและพัฒนาทั้งด้าน R&D และ นวัตกรรม เป็นกรอบสำคัญที่บริษัทได้ยึดมั่น หากเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเรา บริษัทจะนำมาปรับใช้กับธุรกิจเพื่อให้ทันกับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลง
ซีอีโอซีพีเอฟ ยังเปิดเผยถึงแผนการสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจในอนาคตว่า “เราจะนำโมเดลผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมอาหารครบวงจร ที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยไปพัฒนาต่อยอดในตลาดต่างประเทศที่ ซีพีเอฟเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะในตลาดที่เกิดใหม่ (Emerging Market) ควบคู่ไปกับการเข้าไปซื้อธุรกิจ ด้วยเชื่อว่า จะสามารถต่อยอดการลงทุนของซีพีเอฟได้อย่างมั่นคง ที่ผ่านมาซีพีเอฟได้ขายธุรกิจเกี่ยวกับยานยนต์ในประเทศจีนออกไป ด้วยเล็งเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่เป็นอยู่ และหันมาเพิ่มโอกาสทางธุรกิจด้วยการเข้าซื้อธุรกิจอาหารที่เกี่ยวข้องกับบริษัทโดยตรง คาดว่าบริษัทจะสามารถทำรายได้ 400,000 กว่าล้านบาท หลังจบปี 2014”
นอกจากตลาดในประเทศไทยที่แข็งแกร่งแล้ว ฐานการขับเคลื่อนหลักรองจากไทย ก็คือ จีน เวียดนาม และอินเดีย เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง ทั้งจำนวนประชากรที่มากและฐานธุรกิจของบริษัทจัดอยู่ในอันดับค่อนข้างดี สำหรับธุรกิจอาหาร ถือเป็นฐานการที่มั่นคงในการสร้างการเติบโต ขณะนี้สิ่งหนึ่งในแง่การส่งออกเริ่มมีสัญญาณข่าวดีคือ รัสเซียซึ่งซีพีเอฟเข้าไปลงทุนเลี้ยงหมูและทำอาหารสัตว์ เมื่อรัสเซียหยุดการนำเข้าเนื้อสัตว์จากอเมริกา ก็ทำให้ราคาเนื้อสัตว์ในรัสเซียดีขึ้น ซีพีเอฟก็ได้ประโยชน์ตามไปด้วย ประเด็นที่สอง พอรัสเซียต่อต้านการนำเข้าอาหารจากยุโรปและอเมริกา รัสเซียเริ่มเบนมาทางเอเชีย เริ่มเข้ามาหาในไทยและจีน อันนี้ก็จะเป็นผลบวกกับ ซีพีเอฟทางอ้อม
ปัจจุบันซีพีเอฟ มีสัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ 64% เป็นรายได้จากการลงทุนใน 13 ประเทศและการส่งออก 40 ประเทศ สำหรับตลาดในประเทศมีสัดส่วนอยู่ที่ 36% รายได้ส่วนใหญ่มาจาก ธุรกิจอาหารสัตว์ 51% รองลงมา ธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์ 37% และ ธุรกิจอาหาร 12% สำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจในอีก 5 ปีข้างหน้า ซีพีเอฟ จะเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ การสร้างแบรนด์และการขยาย