

นายซานจีฟ แพนท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจอาหารสำเร็จรูป บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อินเดีย จำกัด ผู้ดูแลธุรกิจ “ห้าดาว” ในประเทศอินเดียและเวียดนาม เปิดเผยว่า ปี 2558 นี้ ธุรกิจห้าดาวยังมุ่งขยายธุรกิจในเวียดนามและอินเดียเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีและการขยายตัวในธุรกิจอาหารของทั้งสองประเทศ และเน้นการสร้างแบรนด์ “ห้าดาว” ให้มีความเป็นสากล เหมือนกันทุกประเทศ
“ตลาดอาหารในเวียดนามและอินเดียมีแนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยเศรษฐกิจเติบโตดี ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่นิยมการรับประทานอาหารนอกบ้าน และอาหารสำเร็จรูปขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญจากการเข้าไปลงทุนในประเทศดังกล่าวมากว่า 20 ปีมีส่วนช่วยให้ผู้บริโภคทั้งสองประเทศมีความเชื่อมั่นใน “แบรนด์” ซีพี และห้าดาว ทั้งในเรื่องการควบคุมคุณภาพตั้งแต่ต้นทาง และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตั้งแต่ต้นทาง จึงนับเป็นโอกาสที่ดี ที่ธุรกิจห้าดาวจะขยายสาขาห้าดาวในทั้ง 2 ประเทศมากขึ้น ในเวียดนามปีนี้ตั้งเป้าจะขยายซุ้มห้าดาวเพิ่มเป็น 1,000 -1,200 สาขาทั่วประเทศจากในปัจจุบันที่มีอยู่ 605 จุด ขณะที่อินเดีย ปีนี้จะขยายร้านห้าดาวในรูปแบบอาหารฟาสต์ฟู้ดขนาดเล็กเพิ่มเป็น 500 สาขาภายใน 3 ปีข้างหน้า” นายซานจีฟกล่าว
นายซานจีฟกล่าวต่ออีกว่า ปัจจัยพื้นฐานของประเทศเวียดนามและอินเดียมีความคล้ายคลึงกัน เศรษฐกิจของประเทศมีศักยภาพมากและมีโอกาสเติบโตสูง ประชากรมีความรู้และรายได้ต่อหัวมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้คนเวียดนามและอินเดียมีกำลังการซื้อมากขึ้น ปัจจุบันอายุเฉลี่ยของประชากรทั้งสองประเทศอยู่ที่ 29-30 ปีถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในวัยทำงานซึ่งมีพฤติกรรมการบริโภคนิยมการรับประทานอาหารนอกบ้าน ขณะที่ “ห้าดาว” มุ่งตอบโจทย์ลูกค้าที่อยู่ในระดับกลางและล่างลงไปที่ต้องการบริโภคสินค้ารสชาติอร่อย มีคุณภาพสูง และในราคาที่คุ้มค่าที่สุด ภายใต้แนวคิด “อาหารที่อร่อย มีคุณภาพสูง ในราคาที่คุ้มค่าที่สุด”
ในเวียดนาม การขยายจำนวนซุ้มห้าดาวเพิ่มเป็น 2 เท่าจากในปัจจุบันนั้น เป็นไปตามทิศทางของการลงทุนของซีพีในเวียดนามที่จะเน้นขยายธุรกิจอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานเป็นหลัก และผู้บริโภคเวียดนามยังมีความเชื่อมั่นในแบรนด์ “ซีพี” และ “ห้าดาว” เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ เวียดนามยังได้นำร่องเปิดร้านห้าดาวในรูปแบบร้านอาหารฟาตส์ฟู้ดขนาดเล็ก (Quick Service Restaurant: QSR) ในรูปแบบเดียวกันกับร้านในประเทศอินเดียไปแล้ว 2 สาขาในเมืองโฮจิมินห์ซิตี้ และได้การตอบรับที่ดี และในปีนี้จึงตั้งใจที่จะเปิดร้านห้าดาวในรูปแบบฟาสต์ฟู้ดในเวียดนามเพิ่มเป็น 10 สาขาอีกด้วย
สำหรับในอินเดีย ปัจจุบันที่มีร้านห้าดาวอยู่ 265 สาขาซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรัฐที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย ได้แก่ รัฐกรณาฏกะ (Karnataka) ซึ่งมีเมืองใหญ่ อาทิ เมืองเบงกาลอร์ (Bengaluru)เมืองเชนไน (Chennai) โกชี (Kochi) เป็นต้น และภายใน 2 ปีข้างหน้า ธุรกิจห้าดาวจะนำแบรนด์ “ห้าดาว” รุกขยายเข้าไปในเมืองใหญ่ในรัฐเตลันกานา (Telangana) และ รัฐอานธรประเทศ (Andhra Pradesh) เป็นหลัก โดยบริษัทได้เข้าไปเปิดร้านห้าดาว 3 สาขาแล้วที่เมืองไฮเดอราบัด ซึ่งศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ เภสัชกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ ตั้งเป้ามีร้านห้าดาว 300-350 สาขาในอินเดียภายในปีนี้
“ในปีหน้า เราได้จัดสรรงบลงทุน ประมาณ 1,000 ล้านบาท สำหรับการขยายธุรกิจอาหารในอินเดียในระยะที่สอง โดยจะสร้างโรงงานแปรรูปแห่งที่สองในปี 2559 และนำเทคโนโลยีการเป่าลมเย็น (Air-Chill Technology) มาใช้ในการยืดอายุการเก็บรักษาสินค้า ซึ่งนับเป็นเรื่องใหม่ในวงการอาหารของอินเดีย โรงงานแห่งใหม่ซึ่งจะมีกำลังการผลิตเนื้อไก่ประมาณ 20,000-30,000 ตัวต่อวัน เพื่อรองรับการขยายสาขาร้านห้าดาว และการขยายตัวธุรกิจอาหารแปรรูปในรูปแบบเนื้อไก่สดในรูปแบบแช่เย็นและแช่แข็งในบรรจุภัณฑ์มาตรฐาน ภายใต้แบรนด์ “ซีพี” ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างการเติบโตธุรกิจอาหารของซีพีเอฟในอินเดีย ทั้งนี้ ในปีหน้า เราเตรียมจะจัดจำหน่ายอาหารแปรรูปในบรรจุภัณฑ์แบรนด์ “ซีพี” โดยจะเน้นลูกค้าเป็นธุรกิจร้านอาหาร และโมเดิร์นเทรด เป็นหลัก และขยายธุรกิจห้าดาวเพิ่มขึ้นในพื้นที่ทางภาคตะวันตกของอินเดีย เช่น บังกาลอร์ ไฮเดอราบัด โกจี เป็นต้น” นายซานจีฟกล่าว
นายซานจีฟกล่าวต่ออีกว่า อินเดียและเวียดนามเป็นตลาดอาหารที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ธุรกิจอาหารสำเร็จรูปมีโอกาสเติบโตสูง มีการแข่งขันค่อนข้างสูงทั้งสองประเทศ ธุรกิจห้าดาวจึงให้ความสำคัญการสร้างแบรนด์ทั้งในอินเดีย และเวียดนามอย่างต่อเนื่อง และยังคงรักษาคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารควบคู่กันไปด้วย./