
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าโครงการฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ในผลิตภัณฑ์ หมู ไก่ กุ้ง และอาหารสัตว์ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตอกย้ำองค์กรที่มุ่งลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการบริหารกระบวนการผลิตทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นน้ำไปสู่ปลายน้ำ
นางสาวกุหลาบ กิมศรี รองกรรมการผู้จัดการ สำนักระบบมาตรฐานสากล ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟเป็นองค์กรในไทยที่ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันเป็นปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ภายใต้แนวคิด “ธุรกิจสีเขียว” บริษัทฯ จึงริเริ่มดำเนิน “โครงการคาร์บอนฟุตพริ้นท์” เป็นรายแรกของภูมิภาคเอเชียตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 โดยแบ่งการดำเนินโครงการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ซีพีเอฟเป็น คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร และคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ เพื่อวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์แต่ละหน่วยตลอดวัฏจักรการผลิต ด้วยตระหนักถึงการสร้างคุณค่าของทรัพยากรให้ยั่งยืน อันเป็นต้นแบบการผลิตอาหารคุณภาพป้อนสู่ประชากรโลก อีกทั้งเป็นส่วนหนึ่งในการลดวิกฤติภาวะโลกร้อนซึ่งเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ
นางสาว กุหลาบ กล่าวต่อไปว่า สำหรับในประเทศไทยภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมให้เกิดระบบเศรษฐกิจ สีเขียว โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ได้มีการขึ้นทะเบียนสินค้าภายใต้ “โครงการฉลากลดโลกร้อน” และ “โครงการรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint Labeling)นั้น ซีพีเอฟในฐานะ “ผู้ผลิตโปรตีนคาร์บอนต่ำ” ได้นำผลิตภัณฑ์เข้าร่วมกับ อบก. ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2551 เป็นต้นมา ปัจจุบันผลิตภัณฑ์อาหารของซีพีเอฟได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์รวม 148 รายการ โดยระหว่างปี พ.ศ. 2555-2559 ได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ ไก่ กุ้ง หมู และนม พร้อมวางโรดแมปขยายโครงการไปสู่ผลิตภัณฑ์จากไข่ และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทานในปี พ.ศ. 2561
นางสาวกุหลาบ กล่าวต่อไปว่า “ผลิตภัณฑ์ไก่” เป็นธุรกิจหลักของซีพีเอฟที่ส่งออกไปต่างประเทศทั่วโลก กระบวนการผลิตไก่ของซีพีเอฟมีการผลิตอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานโลก ล่าสุด ซีพีเอฟ ได้รับ ฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ หรือ ฉลากลดโลกร้อน ที่ครอบคลุมห่วงโซ่อาหาร ได้แก่ ลูกไก่ ไก่มีชีวิต และไก่สด แสดงให้เห็นถึงการผลิตสินค้าที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่กระบวนการผลิตต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เราได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอย่างต่อเนื่อง มีการใช้อาหารสัตว์ที่มีคุณภาพดี ลูกไก่มาจากสายพันธ์ที่ดีให้ผลผลิตสูง ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ไก่ของซีพีเอฟ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เนื้อไก่สดซีพีมีการปล่อยคาร์บอน ไดออกไซด์น้อยกว่าอุตสาหกรรมผลิตเนื้อไก่ของประเทศไทย 806,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์โดยคิดจากข้อมูลยอดขายปี พ.ศ. 2558 เท่ากับเนื้อไก่สดซีพีมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าอุตสาหกรรมการผลิตเนื้อไก่ของไทยถึง 50% โดยเนื้อไก่สด 1 กิโลกรัม มีค่าการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์เท่ากับ 2.29 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ในส่วนของผลิตภัณฑ์กุ้ง “ผลิตภัณฑ์เกี๊ยวกุ้งตราซีพี” เป็นผลิตภัณฑ์กุ้งรายแรกของไทยที่ได้รับฉลากลดโลกร้อน แสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์เกี๊ยวกุ้งมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ โดยบริษัทได้ทำคาร์บอนฟุตพรินต์ของเกี๊ยวกุ้งตั้งแต่ปีพ.ศ. 2555 มีค่าการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์เท่ากับ 1.05 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อเกี๊ยวกุ้ง 1 ถ้วย (น้ำหนักบรรจุ 145 กรัม) ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนถึง 23% คิดเป็นการลดค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ได้ 2,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยคิดจากข้อมูลยอดขายปี พ.ศ. 2558
สำหรับผลิตภัณฑ์หมู โดยหมูสด 1 กิโลกรัม มีค่าการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์เท่ากับ 4.42 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในขณะที่ทั่วโลกในปี พ.ศ. 2556 องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติประกาศค่าการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์เท่ากับ 6.1 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์หมูซีพี มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าอุตสาหกรรมการผลิตหมูของโลกถึง 28%
อย่างไรก็ตามการค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของซีพีเอฟ มีการคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ การเลี้ยงภายใต้สวัสดิภาพสัตว์ที่ดี การแปรรูปเนื้อสัตว์ การบริโภค และการจัดการของเสีย ทั้งที่เกิดขึ้นภายในกระบวนการผลิตจนถึงขยะบรรจุภัณฑ์หลังการบริโภค โดยนำหลักการประเมินประสิทธิภาพเชิงเศรษฐนิเวศ (Eco-Efficiency Analysis) มาใช้เพื่อมุ่งลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม
“จากการนำหลักประเมินประสิทธิภาพเชิงเศรษฐนิเวศมาประเมินผลกระทบของผลิตภัณฑ์ไก่ยั่งยืนซีพีเอฟ ซึ่งผลการวิเคราะห์ไก่สด 1 กิโลกรัม จากข้อมูลปี พ.ศ. 2557 เทียบกับปี พ.ศ. 2554 พบว่า การใช้พลังงาน (Energy) ลดลง 16%, การปลดปล่อยมลพิษ (Emissions) ลดลง 22%, ศักยภาพในการก่อให้เกิดความเป็นพิษ(Toxicity Potential) ลดลง 23%, อุบัติเหตุและความเจ็บป่วยจากการทำงาน (Occupational Illness and Accidents) ลดลง 7%, ทรัพยากร (Resources) ลดลง 28% และการใช้ที่ดิน (Land Use) ลดลง 19% ซึ่งผลเหล่านี้มีวิธีการ(methodology) ที่ได้การรับรองจาก NSF สหรัฐอเมริกา” นางสาวกุหลาบ กล่าวเสริม
ซีพีเอฟยังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่การผลิต ผ่านโครงการที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับที่แสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในการใช้วัตถุดิบและพลังงานตลอดห่วงโซ่อุปทาน ทำให้สามารถบริหารจัดการจุดสำคัญ (Hotspot) และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas: GHG) ได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีการบริหารจัดการและลดก๊าซเรือนกระจก โดยตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 20-25 ภายในปี พ.ศ. 2573 นำประเทศมุ่งสู่ “สังคมคาร์บอนต่ำ”