

ซีพีเอฟ เปิดกลยุทธ์ ปีวอก ใช้ 3 แผนหลักโตยั่งยืน ปิดท้ายปีแพะ มอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวัน 50 โรงเรียน
ซีพีเอฟ ประกาศ กลยุทธ์ปี 59 ใน 3 ด้านหลัก การสร้างมูลค่าเพิ่ม การขยายการลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพ และการควบรวมกิจการ มั่นใจ โตได้ปีละ 10% พร้อม ยึดมั่นปรัชญา 3 ประโยชน์ ประเทศชาติ ประชาชน และบริษัท สานต่อธุรกิจสร้างความยั่งยืนอาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และดิน-น้ำ-ป่าคงอยู่ ปิดท้ายปี ลงพื้นที่ อุดรธานี มอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน จำนวน 50 โรงเรียน ประจำปี 2559
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่าเพื่อตอกย้ำผู้นำครัวโลกยั่งยืน ในฐานะผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร ตระหนักถึงความสำคัญในการส่งมอบอาหารที่มีคุณค่า คุณภาพ และความปลอดภัยสู่คนไทย ทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย ด้วยเชื่อมั่นว่าเมื่อประชาชนได้รับโภชนาการที่ดี ก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรง มีพลังในการนำประเทศสู่ความเข้มแข็ง
เปิด 3 กลยุทธ์ปี 59 โตยั่งยืน
โดยกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ ปี 2559 ซีพีเอฟยังคงเดินเกมรุกสู่ตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง มีเป้าหมายการทำธุรกิจเติบโตแบบยั่งยืน ผ่านยุทธศาสตร์ 3 ด้านคือคือ 1.การสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Chain) โดยทำธุรกิจครบวงจรเริ่มต้นจากอาหารสัตว์ ฟาร์มปศุสัตว์ และอาหาร ซึ่งแต่ละประเทศจะสร้างต้นแบบความสำเร็จเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นของตนเอง 2.การขยายการลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพ (Geographical Growth) เพราะการลงทุนเพิ่ม ทำให้ได้พื้นที่และตลาดเพิ่ม ซึ่งส่งผลให้เกิดการเติบโตตามมา อาทิ การขยายธุรกิจเข้าไปในแทนซาเนีย เพื่อจุดเริ่มต้นในขยายไปยังประเทศอื่นในทวีปแอฟริกา 3.การควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition) เพิ่มศักยภาพบุคลากรที่แข็งแกร่งมาร่วมงานด้วยเพื่อขยายเครือข่าย ซึ่งแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะยังคงมีแนวโน้มที่ชะลอตัวต่อเนื่อง แต่คาดว่ายุทธศาสตร์ทั้งสามประการนี้ยังมีโอกาสที่จะสำเร็จทั้งหมด
ปัจจุบัน ซีพีเอฟมีรายได้หลักจากตลาดต่างประเทศกว่า 67% และตลาดในประเทศ 33% รวมรายได้ทั้งหมดกว่า 430,000 ล้านบาท และคาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้ายังสามารถสร้างการเติบโตเฉลี่ยไม่น้อยกว่าปีละ 10% ส่งผลให้สามารถสร้างรายได้ไปถึง 700,000 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน
“ซีพีเอฟมีการลงทุนใน 15 ประเทศ รวมประเทศไทย เพื่อผลิตอาหารป้อนให้กับประชากร 3,000 ล้านคนทั่วโลก ด้วยเป้าหมายการเป็นครัวโลกที่แข็งแกร่งพื้นฐานการทำธุรกิจต้องมีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกประเทศได้อย่างรวดเร็ว ในปีนี้ซีพีเอฟได้รับคัดเลือกเข้าเป็นสมาชิก DJSI Listed Company ในกลุ่ม DJSI Emerging Market แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ จริงในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนครอบคลุม ทุกด้านทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยวิสัยทัศน์ ครัวของโลก” นายอดิเรก กล่าว
นอกจากวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่การเป็น “ครัวของโลก” บริษัท จึงไม่หยุดนิ่งในการพัฒนานวัตกรรมที่ก้าวหน้า พร้อมมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ภายใต้การพัฒนาสู่ความยั่งยืน 3 ด้าน คือ อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และดิน-น้ำ-ป่าคงอยู่
สานต่อปรัชญา 3 ประโยชน์
บริษัทยังยึดมั่นในหลักปรัชญาที่ คุณธนินท์ เจียรวนนท์ ถ่ายทอดสู่เพื่อนร่วมงานทุกคนในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ว่าทุกกิจการต้องคำนึงถึง 3 ประโยชน์ โดยเรียงลำดับความสำคัญจาก ประโยชน์ของประเทศชาติ ประโยชน์ของประชาชน แล้วจึงถึงประโยชน์ของบริษัท ส่งผลให้เพื่อนพนักงานในซีพีเอฟ ต่างยึดมั่นในการร่วมสร้างสรรค์ประโยชน์สู่สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการร่วมสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของมูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท ซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ และเหล่าพนักงานร่วมกันตั้งขึ้นเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
การเข้าร่วมสนับสนุนโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ทั้งด้านงบประมาณ และกำลังคนในการถ่ายทอดความรู้นั้น เป็นภารกิจที่ ซีพีเอฟ ตั้งใจทำ อย่างต่อเนื่อง หัวใจหลักคือ เพื่อการสร้างแหล่งอาหารโปรตีนที่มั่นคงในชุมชน ขณะเดียวกันยังเป็นการนำองค์ความรู้การเลี้ยงสัตว์เชิงธุรกิจสู่ชุมชน ให้เกิดการเรียนรู้ และสามารถปรับใช้เพื่อการพึ่งพาตนเองได้ต่อไป
ล่าสุด ซีพีเอฟ ลงพื้นที่ อุดรธานี มอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน จำนวน 50 โรงเรียน ประจำปี 2559 แก่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ณ โรงเรียนอนุบาลประจักษ์ศิลปาคม จังหวัดอุดรธานี ทำให้มีโรงเรียนในโครงการรวมทั้งสิ้น 602 แห่งทั่วประเทศ มูลค่าโครงการรวม 82 ล้านบาท ซึ่งซีพีเอฟจะยังคงดูแลโรงเรียนทุกแห่งให้ดำเนินโครงการไปได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน และพร้อมสรรหา โรงเรียนร่วมโครงการเพิ่มขึ้นต่อไป
นอกเหนือจากการดูแลความมั่นคงทางอาหาร สิ่งที่ คุณธนินท์ เจียรวนนท์ ย้ำอยู่เสมอ อีกประการหนึ่ง ก็คือ การดูแลคนในสังคมในทุกพื้นที่ที่มีกิจการของเครือเจริญโภคภัณฑ์เข้าไปตั้งอยู่ เพื่อช่วยเหลือให้คนเหล่านั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่ง ซีพีเอฟ ได้รับนโยบาย มาดำเนินการ เช่น การช่วยเหลือผู้ประสบภัย ผ่านโครงการ “เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยประธานธนินท์ เจียรวนนท์ เคียงข้างคนไทย ช่วยภัยหนาว” ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2553 ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน
โดยมอบผ้าห่มให้แก่ผู้ประสบภัยหนาวทั่วประเทศไปแล้ว รวมทั้งสิ้น 200,000 ผืน มูลค่ารวมกว่า 45 ล้านบาท และการดูแลผู้สูงอายุ ที่ประสบความยากลำบาก ในการดำรงชีวิตผ่านโครงการ “ซีพีเอฟ คืนสุข ผู้สูงวัย” โดยมอบทั้งเครื่องอุปโภค-บริโภค และเงินดำรงชีพรายเดือน ให้ผู้สูงอายุทั่วประเทศ ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2554 ถึงปัจจุบัน จำนวนรวม 716 ราย มูลค่า ความช่วยเหลือรวม 54 ล้านบาท ในโอกาสเดินทางมายังจังหวัดอุดรธานี ในครั้งนี้ ซีพีเอฟได้นำผ้าห่มมามอบให้ผู้ประสบภัยหนาว และเตรียมเครื่องอุปโภค-บริโภค พร้อมเงินดำรงชีพประจำเดือนธันวาคมมามอบให้ผู้สูงอายุในคราวเดียวกัน
โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลาง
นับจากที่พุทธศักราช 2530 อันเป็นปีมหามงคลที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เครือเจริญโภคภัณฑ์และเหล่าพนักงาน ได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติด้วยการน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายหมดทั้ง กำลังกาย กำลังทรัพย์ และ กำลังสติปัญญา ก่อตั้งมูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท ขึ้น เพื่อร่วมกับหน่วยงานภาคีต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน ชุมชน ดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้คนในชนบท ตามรอยใต้เบื้องพระยุคลบาท
ถึงวันนี้ เป็นเวลาเกือบ 30 ปีแล้วที่ เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยมูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท ได้ร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพ เยาวชนและเกษตรกรในท้องถิ่นต่างๆ ทั่วประเทศ ภารกิจหนึ่งที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยมูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท ขับเคลื่อนตามแนวพระราชดำริคือ การสนับสนุนงานแก้ไขปัญหาทุพโภชนาการของเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล อันเนื่องมาจากการขาดแคลนหรือการขาดศักยภาพที่จะเข้าถึง อาหารโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทั้งร่างกายและสมองของเยาวชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนและชุมชนเล็กๆ ตามแนวชายแดน
ซึ่งสำนักงานโครงการส่วนพระองค์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ดำเนินการแก้ไขปัญหาอยู่ภายใต้โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยมูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท ได้เริ่มสนับสนุนงานของสำนักงานโครงการส่วนพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ด้วยการมอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน ในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) 113 แห่ง ตั้งแต่ปี 2532 เพื่อเพิ่มแหล่งอาหารโปรตีนในท้องถิ่นและเป็นแหล่งเรียนรู้ทักษะด้านการเกษตรของเยาวชน รวมถึงชุมชนโดยรอบ และได้ขยายโครงการเพิ่มขึ้นทุกปีจนทั่วประเทศและเมื่อสำนักงานโครงการส่วนพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีนโยบายสนับสนุนให้ดำเนินโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
และภาครัฐโดยกระทรวงศึกษาธิการได้รับสนองด้วยการจัดสรรงบประมาณค่าอาหารกลางวันมาสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยมูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท จึงได้ร่วมสนับสนุนภาครัฐ โดยขยายการมอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนไปยังโรงเรียนในสังกัด สพฐ. ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ รวมทั้งยังได้ขยายโครงการไปยังสถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานในสังกัดอื่นๆ ที่มีความจำเป็นและเหมาะสมด้วย
ตลอดระยะเวลาที่ เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยมูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท ดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ได้มีภาคส่วนต่างๆ ที่มีเจตนารมณ์สอดคล้องกัน เข้าร่วมสนับสนุนการดำเนินงาน อาทิ กรมปศุสัตว์ หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพ (เจซีซี.) สโมสรโรตารี บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (ซีพีเอฟ.) บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) (แม็คโคร)
ด้านนายอภัยชนม์ วัชรสินธุ์ กรรมการและรองเลขาธิการ มูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท สนับสนุนโดยเครือเจริญโภคภัณฑ์และเหล่าพนักงาน กล่าวว่า ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 5 รอบ ในปีพุทธศักราช 2530 เครือเจริญโภคภัณฑ์และเหล่าพนักงาน ได้ร่วมกันก่อตั้งมูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท ขึ้น เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์ และกำลังสติปัญญา ดำเนินโครงการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนและเกษตรกรในพื้นที่ชนบททั่วประเทศ ตามรอยใต้เบื้อง พระยุคลบาท ซึ่งปัญหาหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญ คือ การขาดแคลนอาหารโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทั้งร่างกาย และสมองของเยาวชนในชนบทห่างไกล และได้พระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยให้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ดำเนินโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน เป็นโครงการนำร่องตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2523 เพื่อให้นักเรียนในถิ่นทุรกันดารมีอาหารเพียงพอ และมีโภชนาการที่ดี พร้อมได้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะการจัดการอาชีพเกษตร เป็นพื้นฐานรองรับสัมมาอาชีวะต่อไป
ในปีพุทธศักราช 2532 มูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท ได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ สนับสนุนงานตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน เป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมตามโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน ในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน และต่อมาในปีพุทธศักราช 2542 ได้ร่วมสนับสนุนงานของสำนักงานโครงการส่วนพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ขยายการดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ทั้งในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน และโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยสนับสนุนเป็นเงินทุนก่อสร้างโรงเรือน พันธุ์ไก่ไข่ อาหารสัตว์ และปัจจัยอื่นๆ สำหรับการเลี้ยงไก่ไข่ในรุ่นแรก
ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท สามารถดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนในโรงเรียนทั่วประเทศรวม 550 แห่ง นักเรียนได้รับประโยชน์กว่า 120,000 คน ครูกว่า 5,000 คน ชุมชนได้รับประโยชน์ 900 แห่ง ซึ่งการดำเนินโครงการประสบความสำเร็จได้อย่างดียิ่งนี้ ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ในการจัดสรรผู้ชำนาญการและสัตวบาล มาร่วมพิจารณาคัดเลือกโรงเรียนร่วมโครงการ ติดตามให้ความรู้ ให้คำแนะนำปรึกษาด้านการเลี้ยงการจัดการแก่ครูและนักเรียนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่อง
นอกเหนือจากการสนับสนุนกำลังคนในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ยังแสดงเจตนาจัดสรรงบประมาณ มอบให้มูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท ดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน เพิ่มขึ้นอีกปีละ 50 โรงเรียน ซึ่งในปีพุทธศักราช 2558 จะประกอบไปด้วยโรงเรียนในพื้นที่ภาคเหนือ 10 โรงเรียน-ภาคกลาง 8 โรงเรียน-ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 24 โรงเรียน และภาคใต้ 8 โรงเรียน พันธุ์ไก่ไข่ รวม 7,500 ตัว อาหารสัตว์ จำนวน 296,000 กิโลกรัม มูลค่ารวม 15 ล้านบาท โดยมีโรงเรียนอนุบาลประจักษ์ศิลปาคม จังหวัดอุดรธานี โรงเรียนลำดับที่ 551 ของโครงการ เป็นโรงเรียนตัวแทนจัดพิธีรับมอบโครงการในปีนี้
โรงเรียนอนุบาลประจักษ์ศิลปาคม
สำหรับโรงเรียนอนุบาลประจักษ์ศิลปาคม ตำบลบ้านนาม่วง อำเภอประจักษ์ศิลปาคม จังหวัดอุดรธานี นับเป็นโรงเรียนลำดับที่ 551 ที่ได้รับมอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนจากเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยมูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท และเป็นหนึ่งในจำนวน 50 โรงเรียนที่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (ซีพีเอฟ) กิจการหนึ่งในเครือเจริญโภคภัณฑ์ สนับสนุนโครงการในปี 2558 และได้รับคัดเลือกเป็นโรงเรียนตัวแทนจัดพิธีรับมอบโครงการจาก ซีพีเอฟ ในปีนี้
โรงเรียนอนุบาลประจักษ์ศิลปาคม เป็นโรงเรียนขยายโอกาส และเป็นโรงเรียนต้นแบบจัดการศึกษาแบบลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ในพื้นที่ เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีจำนวนนักเรียนรวม 190 คน ครูและเจ้าหน้าที่ 19 คน ได้รับงบประมาณค่าอาหารกลางวันสำหรับเด็กจำนวนทั้งสิ้น 125 คน ในอัตราคนละ 20 บาทต่อวัน ซึ่งโรงเรียนได้จัดสรรเป็นค่าวัตถุดิบประกอบอาหารให้เด็กทุกคนได้รับสารอาหารครบถ้วนตามเกณฑ์ที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ส่งผลให้เด็กนักเรียนในโรงเรียนมีค่าการเจริญเติบโตตามมาตรฐาน
ในส่วนโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนที่ ซีพีเอฟ มอบให้แก่โรงเรียนอนุบาลประจักษ์ศิลปาคมนั้น ประกอบด้วย ค่าก่อสร้างโรงเรือน อุปกรณ์กรงตับ พันธุ์ไก่ไข่จำนวน 150 ตัว อาหารสัตว์สำหรับการเลี้ยงไก่ไข่ตลอดรุ่นแรกระยะเวลา 52 สัปดาห์จำนวน 6,000 กิโลกรัม และการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการจัดการโครงการ
นอกเหนือจากโรงเรียนอนุบาลประจักษ์ศิลปาคมแล้ว ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี มีโรงเรียนที่ได้รับมอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนจากเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยมูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท และหน่วยงานร่วมเจตนารมณ์ ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2548 จำนวนรวม 14 โรงเรียน
นายวิมล สุระเสน นายอำเภอประจักษ์ศิลปาคม จังหวัดอุดรธานี กล่าวเสริมว่า อำเภอประจักษ์ศิลปาคม เป็นอำเภอที่ตั้งขึ้นล่าสุดของจังหวัดอุดรธานี โรงเรียนอนุบาลประจักษ์ศิลปาคม ตำบลนาม่วง อำเภอประจักษ์ศิลปาคม จังหวัดอุดรธานี ได้เป็นตัวแทนของ 50 โรงเรียน ที่ได้รับการสนับสนุนโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน จากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ประจำปี 2559
ซีพีเอฟ คืนสุขผู้สูงวัย
สำหรับตัวอย่างของผู้สูงอายุที่ทางโครงการ “ซีพีเอฟ คืนสุข ผู้สูงวัย” ได้ช่วยเหลืออยู่ อาทิ คุณตาคำ ศรีเมือง (อายุ 103 ปี) อยู่ที่ตำบลสุมเส้า อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี คุณตาคำเป็นคนพื้นที่อุดรธานี มีบ้านและที่ดินเป็นของตัวเองมีอาชีพรับจ้าง คุณตามีภรรยาและลูกสาว 1 คน แต่ทั้งคู่เสียชีวิตแล้ว ปัจจุบันคุณตาคำใช้ชีวิตในบ้านหลังเดิม หากที่เปลี่ยนไปจากเดิมคือบ้านและที่ดินนี้ไม่ใช่ของคุณตาอีกต่อไป เพราะคุณตาได้มอบให้กับคนที่คุณตารับมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมด้วยหวังให้เป็นเพื่อนดูแลยามแก่เฒ่าแต่ไม่เป็นดังหวัง คุณตากลับต้องอยู่เพียงลำพัง ต้องหุงหาอาหารเองด้วยรายได้เล็กน้อยจากเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุและช่วยเหลือผู้พิการเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยโครงการซีพีเอฟ คืนสุข ผู้สูงวัย ได้เข้ามาร่วมดูแลคุณตาคำ ตั้งแต่ปี 2554 และตั้งใจจะดูแลกันต่อไป
คุณยายดี บุดอินทร์ (อายุ 87 ปี) อยู่ที่ตำบลนิคมสงเคราะห์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี คุณยายดีเป็นคนพื้นที่อุดรธานี มีสามีและมีลูก 5 คน สามีและลูกอีก 2 คนเสียชีวิตแล้ว ปัจจุบันคุณยายดีพักอาศัยในบ้านบนที่ดินของตนเองกับลูกสาวที่มีอาการทางประสาท และหลานอีก 1 คน ลูกคนอื่นมีครอบครัวไปอยู่ต่างอำเภอ แต่ก็จะแวะมาเยี่ยมเยียนตามโอกาส คุณยายไม่มีรายได้อะไร นอกจากเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ ในเวลาที่สภาพอาการทางประสาทปกติดี ลูกสาวคุณยายจะเข้าป่าชุมชนกับชาวบ้าน ไปหาเก็บเมล็ดกระบกมากะเทาะเปลือก เพื่อแยกเนื้อใน ซึ่งคุณยายจะช่วยกะเทาะด้วย มีคนมารับซื้อในราคากิโลกรัมละ 40 บาท พอเป็นรายได้เล็กๆ น้อยๆ เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยโครงการซีพีเอฟ คืนสุข ผู้สูงวัย ได้เข้ามาร่วมดูแลคุณยายดี ตั้งแต่ปี 2554 และจะตั้งใจดูแลกันต่อไป