

ด้วยแนวคิดการสร้างกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน นำมาสู่การต่ยอดและขยายผลการใช้ทรัพยากรให้เต็มประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้แนวคิด “ฟาร์มสีเขียว”
จากพื้นที่กว่า 306 ไร่ของฟาร์มในตำบลสระลงเรือ อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรือนเลี้ยงหมูรวม 30 หลังมีครบทุกหน่วยผลิตอยู่ในฟาร์มเดียวกัน นอกจากเลี้ยงพ่อพันธุ์ 50 พ่อ และแม่หมู 3,400 แม่ โดยที่นี่ยังมีหมูเข้าเลี้ยงอยู่ตลอดเวลามากถึง 22,400 ตัว คือจุดเริ่มต้นเส้นทางสีเขียวของฟาร์มกาญจนบุรี หนึ่งในต้นแบบ “กรีนฟาร์ม” ที่เน้นการใช้ประโยชน์ให้แก่ชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม
ฟาร์มแห่งนี้ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม และการวางผังฟาร์มไว้อย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นความตั้งใจในการริเริ่มก้าวแรกของการดำเนินงานจัดทำโครงการฟาร์มสุกรสีเขียว หรือ "กรีนฟาร์ม" ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ก่อนจะถูกพัฒนาจนกลายเป็นฟาร์มต้นแบบที่ได้รับการขยายผลต่อไปยังฟาร์มสุกรอื่นๆ
นอกจากจากแนวคิดที่จะสร้างฟาร์มหมูปลอดโรค ปลอดสาร ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ซีพีเอฟหมายมั่นปั้นมือที่จะพัฒนาให้ฟาร์มแห่งนี้ก้าวสู่การเป็นศูนย์เรียนรู้ของการทำฟาร์มครบวงจรทุกหน่วยผลิตในฟาร์มเดียว ในแบบ One Stop Service และยังใช้เทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาช่วยให้การเลี้ยงหมูมีประสิทธิภาพสูงสุดและช่วยลดต้นทุนการผลิต ภายใต้ระบบการเลี้ยงมาตรฐานและตรวจสอบย้อนกลับได้
ที่สำคัญซีพีเอฟยังมุ่งเน้นกระบวนการผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมประหยัดพลังงาน และเป็นตัวอย่างในการพัฒนาฟาร์มหมูในอนาคตที่ต้องใส่ใจชุมชน โดยนอกจากกรีนฟาร์มสุกรกาญจนบุรี จะเป็นมิตรต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมสวยงามยังมุ่งเน้นการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
การวางผังดังกล่าวแบ่งแยกส่วนเลี้ยงสัตว์ ส่วนบำบัดของเสียจากการเลี้ยงด้วยระบบไบโอแก๊ส บ่อบำบัดและบ่อพักน้ำ ส่วนสำนักงาน บ้านพัก และพื้นที่ส่วนกลาง โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่ “สีเขียว” ทั้งหมด
ซีพีเอฟยังนำเทคโนโลยีแบบเต็มรูปแบบเข้ามาติดตั้งในฟาร์มเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม เริ่มจากการทำฟาร์มระบบปิดด้วยโรงเรือนระบบอีแวป การใช้ส้วมน้ำในโรงเรือนหมู การใช้ระบบไบโอแก๊สแบบ cover lagoon ได้ก๊าซชีวภาพมาปั่นเป็นไฟฟ้าใช้ในฟาร์ม การทำระบบบำบัดน้ำเพื่อนำน้ำไปรดต้นไม้รอบฟาร์ม นำระบบฟอกอากาศท้ายโรงเรือนมาใช้อย่างได้ผล ซึ่งระบบทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้มาตรฐานฟาร์มสีเขียวที่ทั้งช่วยกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีผลต่อภาวะโลกร้อน ทำให้ฟาร์มอยู่กับชุมชนได้อย่างยั่งยืน
ขณะเดียวกัน ฟาร์มสุกรซีพีเอฟยังได้แบ่งปัน "น้ำปุ๋ย" ซึ่งเป็นน้ำที่ออกจากระบบไบโอแก๊สและผ่านการบำบัดจนมีคุณภาพมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด ให้กับพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังและปลูกไผ่ตง ที่อยู่ในพื้นที่รอบๆ ฟาร์ม ทำให้ช่วยลดต้นทุนค่าปุ๋ยและยังแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้งได้เป็นอย่างดี
กำนันระเบียบ ปทุมสูตร กำนันเทศบาลตำบลสระลงเรือ เล่าว่า ฟาร์มแห่งนี้ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2546 แต่ชาวบ้านรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างฟาร์มหมูของซีพีเอฟกับฟาร์มหมูแบบหลังบ้าน และนอกจากพื้นที่โดยรอบจะเป็นไร่อ้อย ภายในฟาร์มก็มีการปลูกต้นไม้เต็มบริเวณเหมือนรีสอร์ท จนแทบไม่เชื่อว่าเป็นฟาร์มหมู
กำนันระเบียบ ให้คำยืนยันเรื่องที่ไม่มีกลิ่นเหม็นรบกวนสมาชิกชุมชนใกล้เคียงแล้ว ยังกล่าวเสริมว่า น้ำที่ผ่านการบำบัดจากฟาร์มสุกรแห่งนี้ยังได้แบ่งปันให้กับเกษตรกรที่อยู่รอบๆฟาร์ม เพื่อนำไปรดไร่อ้อยซึ่งสามารถช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง
“ผมอดภูมิใจไม่ได้ เพราะน้ำดังกล่าวมีส่วนช่วยให้เกษตรกรไร่อ้อยได้ผลผลิตเพิ่มลดต้นทุน กำไรเพิ่มและแก้ปัญหาขาดน้ำได้"
กำนันระเบียบ กล่าวต่อว่า หลังจากที่ใช้น้ำหลังการบำบัดจากฟาร์มบนเนื้อที่ 110 ไร่ ทำให้อ้อยได้รับน้ำพอเพียง โดยพบว่าได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัว ประมาณ 10 ตันต่อไร่ รวมเป็น 20-21 ตันต่อไร่ โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมี แถมยังช่วยลดค่าแรงงานคนถอนหญ้าไปได้ถึงไร่ละ 1,000 บาท เนื่องจากต้นอ้อยโตเร็วต้นหญ้าจึงโตไม่ทัน ช่วยให้ต้นทุนค่าปลูก-ไถ-ค่าแรง ลดลงเหลือประมาณ 8,000 บาทต่อไร่
ด้านวรรณา ทองยิ้ม ชาวบ้านโปร่งไหม ตำบลหนองประดู่ ที่อาศัยอยู่ใกล้ฟาร์มและเป็นเกษตรกรอีกคนที่ขอน้ำหลังการบำบัดไปใช้ในไร่อ้อยมาร่วม 10 ปี ยืนยันอีกเสียงว่า ผลผลิตอ้อยที่ดีขึ้นนั้นต้องยกความดีให้น้ำที่ได้รับจากฟาร์ม และยังช่วยลดการใช้ ปุ๋ยเคมีจากเดิมลงไป 50%
จากมาตรฐานฟาร์มสีเขียวของซีพีเอฟได้กลายเป็นโมเดลการเลี้ยงสัตว์รักษ์โลก ที่ถูกนำไปถ่ายทอดให้เกษตรกรรายย่อยในโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสัตว์ อย่างเช่นที่ สมเกียรติฟาร์ม เลี้ยงหมูขุน ในตำบลแพรกหา อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ของ สมเกียรติ โหสกุล ที่นำรูปแบบ กรีนฟาร์มมาปรับใช้ โดยเฉพาะระบบไบโอแก๊ส ที่ช่วยเปลี่ยนขี้หมูให้กลายเป็นแหล่งพลังงานสำคัญ ช่วยลดรายจ่ายค่ากระแสไฟฟ้าได้มากกว่า 50% และยังนำแก๊สเข้าระบบท่อแก๊สรวมกับเพื่อนๆเกษตรกรในตำบลแพรกหากลายเป็นแก๊ซหุงต้มลดค่าใช้จ่ายให้กับเพื่อนบ้านได้อีกด้วย ส่วนน้ำหลังการบำบัดก็ยังนำไป แบ่งปันให้เพื่อนเกษตรที่ปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ นำไปรดต้นหญ้าแบบฟรีๆ ช่วยเพิ่มผลผลิตโดยไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมี ทำให้เพื่อนบ้านมี รายได้เพิ่มขึ้นอีกเดือนละกว่า 10,000 บาท
กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ ที่หมู่ 7 ตำบลสองพี่น้อง อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ซึ่งค้นพบวิธีการที่จะช่วยลดต้นทุนด้วยการใช้ “น้ำปุ๋ย” ที่ได้จากฟาร์มสุกรจันทบุรี 2 ของซีพีเอฟ ที่ช่วยตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนได้อย่างแท้จริง
“เมื่อตอนเริ่มต้นประมาณปี 2553 เพื่อนเกษตรกรยังใช้ถัง 1,000 ลิตร ไปบรรทุกน้ำจากฟาร์มมาใช้ จากหนึ่งคนก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น จากการบอกกันปากต่อปากว่าผลผลิตกล้วยดีขึ้น พอเอาไปรดต้นเงาะลูกก็งามเหมือนกัน ผมนำเรื่องนี้มาปรึกษากับทางฟาร์มว่าเราควรทำเป็นโครงการปันน้ำให้สวนเกษตรภายในหมู่บ้าน ทางฟาร์มก็เห็นด้วย และเริ่มโครงการกันทันทีเพราะเขาก็อยากทำกิจกรรมดีๆร่วมกับเราอยู่แล้ว ฟาร์มก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเหมือนกัน ชาวสวนและชาวฟาร์มจึงช่วยกันต่อท่อ PVC ที่ได้รับจากกรมชลประทานมาต่อเป็นท่อส่งน้ำให้แต่ละสวน จนถึงตอนนี้เรามีสมาชิกในโครงการ 35 คนแล้ว” ณรงค์ศักดิ์ สุทธาทิพย์ ผู้ทรงคุณวุฒิสภาเกษตรกร และประธานหมอดินจังหวัดจันทบุรี บอกถึงจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของพี่น้องเกษตรกร
“ข้อดีของการใช้น้ำปุ๋ยคือ การช่วยปรับสภาพดินทำให้มีลักษณะร่วมซุย เพราะในน้ำมีจุลินทรีย์ที่ช่วยปรับโครงสร้างดินให้ดีขึ้น ที่สำคัญยังช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยคอกไปได้ถึง 40% อย่างเช่นสวนของผมปลูกผลไม้แบบผสมผสานบนพื้นที่ 10 ไร่ พบว่าผลผลิตมีคุณภาพดี รสชาติก็อร่อยกว่าเมื่อก่อน”โชติ ไหมทอง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 ที่เป็นเกษตรกรกลุ่มแรกๆ ที่บรรทุกน้ำปุ๋ยมาใช้ เพราะได้ยินจากเพื่อนเกษตรกรว่าใช้น้ำนี้แล้วผลผลิตกล้วยดีขึ้นมากจึงทดลองบ้าง
“ตั้งแต่ใช้น้ำปุ๋ยก็เลิกใช้ปุ๋ยเคมีกับปุ๋ยขี้ไก่กับสวนกล้วยไปเลย เรียกว่าประหยัดค่าปุ๋ยได้ 100% ใบกล้วยใหญ่ ต้นงาม ผลดก คุณภาพก็ดีขึ้นมาก ผมใช้น้ำเดือนละ 1-2 ครั้ง และรดต้นทุเรียนกับเงาะด้วย ใช้น้ำมา 5 ปีไม่มีปัญหาอะไร ดินก็ดีผลไม้ก็งามสังเกตว่า ผลไม้ลูกใหญ่ขึ้น”
นอกจากการแบ่งปันน้ำและน้ำปุ๋ยให้พี่น้องในชุมชนแล้ว ในฟาร์มปราจีนบุรี 1 ของซีพีเอฟ ยังจัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ให้กับพนักงานในฟาร์มด้วยโครงการปลูกผักปลอดภัยในพื้นที่ว่างระหว่างโรงเรือนเพื่อให้เพื่อนพนักงานนำผักไปประกอบอาหาร ส่วนที่เหลือยังสามารถนำไปจำหน่ายให้กับเพื่อนบ้านเป็นรายได้เสริม และยังต่อยอดความสำเร็จสู่โครงการผักปลอดภัยเพื่อน้อง ให้กับน้องๆ นักเรียนโรงเรียนบ้านหนองตะแบก เพื่อให้ได้มีผักรับประทานเป็นอาหารกลางวัน โดยชาวซีพีเอฟจิตอาสาจากฟาร์มได้ลงพื้นที่ ร่วมกับน้องๆ นักเรียน จากนั้นจึงมอบหน้าที่การดูแลให้กับอาจารย์ผู้รับผิดชอบกับน้องๆได้ร่วมกันบริหารจัดการเหล่านี้คือเรื่องราวส่วนหนึ่งของการส่งต่อทั้งประโยชน์และความสุขที่ฟาร์มสีเขียวซีพีเอฟพยายามมอบแก่ชุมชนโดยรอบที่เห็นเป็นรูปธรรมได้อย่างชัดเจน