เกี่ยวกับซีพีเอฟ
เกี่ยวกับซีพีเอฟ
ซีพีเอฟดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจร เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพบนมาตรฐานการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและกระบวนการทำงานที่รับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม
เกี่ยวกับซีพีเอฟ สำหรับบุคลากร
ธุรกิจ
ธุรกิจ ซีพีเอฟ
ซีพีเอฟมุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพที่มีคุณค่าทางโภชนาการ สะอาดถูกสุขอนามัย ปลอดภัย และตรวจสอบย้อนกลับได้
ภาพรวมธุรกิจ
บรรษัทภิบาล
บรรษัทภิบาล
พัฒนาการความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโต ทางธุรกิจและเติมเต็มความมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณค่าร่วมในระยะยาวอย่างยั่งยืน ไปพร้อมกับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน
our mision
สารถึงผู้ถือหุ้น
บริษัทยังคงพยายามอย่างเต็มกำลังในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กร เพื่อเป้าหมายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นักลงทุนสัมพันธ์
นักลงทุนสัมพันธ์
บริษัทมุ่งเน้นที่จะสร้างผลตอบแทนด้วยความใส่ใจให้แก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน อันจะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
นักลงทุนสัมพันธ์ ติดต่อนักลงทุนสัมพันธ์
ความยั่งยืน
ความยั่งยืน
เพื่อเสริมสร้าง “ศักยภาพและโอกาสการเติมโต“ สู่ “การสร้างคุณค่าร่วมกับทุกภาคส่วน“
sustainability
ซีพีเอฟกับความยั่งยืน
ซีพีเอฟใช้นวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความเป็นเลิศควบคู่ไปกับสร้างความยั่งยืนเพื่อโลกที่ดีกว่าของคนรุ่นถัดไปภายใต้กลยุทธ์ นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (Sustainovation)
สื่อเผยแพร่
สื่อเผยแพร่
ศูนย์ข่าวสารซีพีเอฟ นำเสนอเรื่องราวครอบคลุมทั้งความยั่งยืน นวัตกรรม ข่าวสารอุตสาหกรรม และกิจกรรมอื่นๆ
สื่อเผยแพร่
media-center
สื่อเผยแพร่
ติดตามข่าวสารล่าสุด และเรื่องราวดีๆ จากซีพีเอฟได้ที่นี่
THAI
ซีพีเอฟเชื่อว่าการมีส่วนร่วมในการสนับสนุนด้านกฎระเบียบช่วยส่งเสริมความยั่งยืนของธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร อันนำมาซึ่งการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัททั้งในตลาดในประเทศและต่างประเทศ ซีพีเอฟจึงยึดถือการช่วยพัฒนานโยบาย กฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ เป็นหนึ่งในความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศที่บริษัทดำเนินกิจการ ซึ่งเป็นการสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนอีกทางหนึ่ง บริษัทมีส่วนร่วมกับองค์กรและสมาคมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมและการค้า เช่น สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม อย่างสม่ำเสมอในรูปของการสนับสนุนค่าสมาชิกและการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในปี 2567 บริษัทได้สนับสนุนองค์กรและสมาคมเหล่านี้เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 9,516,392 บาท
1. จำนวนเงินค่าสมาชิกสำหรับการเข้าร่วมสมาคมการค้า
2564 (บาท) 2565 (บาท) 2566 (บาท) 2567 (บาท)
การโน้มน้าวหรือชักชวนเพื่อการเปลี่ยนแปลง หรืออย่างอื่นที่คล้ายกัน 0 0 0 0
การรณรงค์ / สมาคม / ผู้สมัครทางการเมืองระดับท้องถิ่น ภูมิภาค หรือประเทศ 0 0 0 0
สมาคมการค้าหรือกลุ่มที่ได้รับการยกเว้นภาษี (เช่น กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ) 6,515,265 8,080,204 8,268,738 9,516,392
อื่นๆ (เช่น การใช้จ่ายที่เกี่ยวกับมาตรการการลงคะแนนเสียงหรือประชามติ 0 0 0 0
รวม 6,515,265 8,080,204 8,268,738 9,516,392
2. จำนวนเงินสนับสนุนค่าสมาชิกสมาคมและสถาบันต่างๆ 3 อันดับสูงสุดในปี 2567
สมาคมและสถาบัน รายละเอียด บาท
1 สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อการส่งออกไทย สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทยก่อตั้งเมื่อปี พ. ศ. 2534 เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยงานควบคุมและให้บริการสำหรับผู้ผลิตและส่งออกเนื้อไก่จำนวนมาก สมาชิกสมาคมทั้งหมดเป็นผู้นำในการผลิตและส่งออกของไทยซึ่งมีประวัติอันยาวนานหลายสิบปีในอุตสาหกรรมไก่ สมาคมฯเป็นที่รู้จักดีในฐานะผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไก่ เกรดพรีเมี่ยมแก่ลูกค้าทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง เกาหลีใต้ ตะวันออกกลาง ประเทศในสหภาพยุโรป แอฟริกาใต้ เป็นต้น ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://www.thaipoultry.org/?p=home&lang=TH 4,469,713
2 สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร เริ่มต้นจากการรวมตัวของกลุ่มพ่อค้าวานิชที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการร่วมมือในการพัฒนาวงการปศุสัตว์ไทย จัดตั้งชมรมผู้ผลิตอาหารสัตว์ และพัฒนาสถานะของชมรมเป็น สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย และได้ขึ้นทะเบียนตามระเบียบของกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2521 มีวัตถุประสงค์หลักคือ การเป็นศูนย์กลางความร่วมมือของผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยในการแก้ปัญหาต่างๆ ของธุรกิจอาหารสัตว์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคปศุสัตว์ไทย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://www.thaifeedmill.org/ 2,278,554
3 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้รับการยอมรับทั่วไป ในฐานะตัวแทนภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐบาล ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ และเสริมสร้างความเข้มแข็งและผลิตภาพอุตสาหกรรมไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของไทยให้ยั่งยืน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.fti.or.th 436,256
ซีพีเอฟได้มีส่วนร่วมกับสมาคมและสถาบันที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของสังคมผ่านการโน้มน้าวทางนโยบายและกฎหมาย ในฐานะกลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจรในด้านโปรตีนสัตว์ บริษัทมุ่งเน้นการขับเคลื่อนเรื่องการพัฒนาและส่งเสริมการผลิตอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับห่วงโซ่คุณค่าของปศุสัตว์และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับธุรกิจหลักของบริษัท ความร่วมมือหลักที่บริษัทให้การสนับสนุนในปี 2567 ได้แก่
  • ภาคีปศุสัตว์และสัตว์น้ำไทยเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน:
    ซีพีเอฟ ในฐานะผู้นำในภาคีปศุสัตว์และสัตว์น้ำไทย ได้ส่งเสริมความร่วมมือที่หลากหลายด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรม เน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมปศุสัตว์และสัตว์น้ำภายในปี 2583 ซึ่งช่วยสนับสนุนเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero emissions) ของประเทศ หนึ่งในความร่วมมือดังกล่าวได้แก่ การลงนามความร่วมมือโครงการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย (Thai Livestock Technical Consortium for Climate Neutrality, LCCN) กับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) แนวทางการดำเนินงานประกอบด้วย การจัดทำข้อมูลปีฐาน การวิเคราะห์วัฏจักรชีวิต และการวัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Gas chromatography) และการศึกษาการประยุกต์การดักจับก๊าซด้วยเทคโนโลยี Carbon Capture, Utilization and Storage (CCUS) เพื่อจัดการก๊าซมีเทน ไนโตรเจนไดออกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการปศุสัตว์ ความร่วมมือดังกล่าวช่วยให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันและเตรียมพร้อมต่อกฎระเบียบด้านคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่อาจเข้มงวดขึ้นในอนาคต
    ในปี 2567 ซีพีเอฟได้เสนอให้ TLAC ขยายความร่วมมือจาก 13 เป็น 15 สมาคม และได้จัดตั้งคณะทำงาน 2 กลุ่มสำหรับวัตถุดิบอาหารสัตว์หลัก ได้แก่ กลุ่มข้าวโพด และปลาป่น
    ในปี 2568 โครงการวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากข้าวโพดของ TLAC ได้รับการบรรจุเป็นกิจกรรมสำคัญภายใต้โครงการ SCALA (โครงการร่วมระหว่าง FAO และ UNDP) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมระบบเกษตรอัจฉริยะด้านภูมิอากาศ (Climate-Smart Agriculture - CSA) เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบในพืชไร่และปศุสัตว์ของประเทศไทย
  • Thailand Taxonomy กรอบการจำแนกกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    ในปี 2566 ประเทศไทยเริ่มนำระบบ Taxonomy เข้ามาใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิงในการจำแนกประเภทกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปล่อยคาร์บอนต่ำและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดย Thailand Taxonomy ระยะที่ 1 เป็นการจัดระบบการจัดหมวดหมู่กิจกรรมเพื่อวัตถุประสงค์ในการลดก๊าซเรือนกระจก (climate change mitigation) และครอบคลุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคพลังงานและภาคการขนส่ง ซึ่งมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมสูงที่สุดในประเทศไทย โดยการจัดทำนี้ได้รับการสนับสนุนจากบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (International Finance Corporation: IFC) และมีองค์กร Climate Bonds Initiative (CBI) เป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิค
    และในปี 2567 ประเทศไทยได้เริ่มพัฒนา Thailand Taxonomy ระยะที่ 2 อย่างเป็นทางการโดยได้รับการสนับสนุนจาก IFC ภายใต้โครงการความร่วมมือทางเทคนิคด้านตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Bond Technical Assistance Program) ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสวีเดน จากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) และจากธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) Thailand Taxonomy ระยะที่ 2 ได้ขยายขอบเขตให้ครอบคลุมอีก 4 ภาคเศรษฐกิจ คือ ภาคการเกษตร (รวมถึงป่าไม้) ภาคอาคารและอสังหาริมทรัพย์ ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และภาคการจัดการของเสีย โดยมี CBI และ DNV (Det Norske Veritas องค์กรรับรองมาตรฐานระหว่างประเทศชั้นนำ) เป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิค
    ซีพีเอฟเข้ามามีส่วนร่วมผ่านสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยผู้แทนจากซีพีเอฟเข้าร่วมเป็นคณะทำงานจัดทำ Thailand Taxonomy ภาคเกษตร ซึ่งมีกลุ่มย่อย คือ
    • พืชยืนต้นทั่วไปหรือพืชที่ไม่ใช่พืชไม้ยืนต้น
    • การปลูกข้าวยั่งยืน
    • การปลูกอ้อยอย่างยั่งยืน
    • การปลูกปาล์มน้ําอย่างยั่งยืน
    • การปลูกยางพาราอย่างยั่งยืน
    • ปศุสัตว์
    ทั้งนี้ จากการร่วมพัฒนาในคณะทำงานฯ ผู้แทนจากซีพีเอฟได้เสนอให้ CBI พิจารณาเพิ่มเติมธุรกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําอย่างยั่งยืนเป็น subsector ตามเป้าหมายได้สำเร็จ เนื่องด้วยกิจกรรมในฟาร์มสัตว์น้ำของประเทศไทยมีแนวปฏิบัติที่ดีที่สามารถพัฒนาให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้
3. สมาชิกสมาคมการค้าและการมีส่วนร่วมในนโยบายสาธารณะด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปี 2567
อันเนื่องมาจากผลกระทบทางกายภาพและการเปลี่ยนผ่านที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และแรงผลักดันที่เพิ่มขึ้นของผู้มีส่วนได้เสียในการเปลี่ยนผ่านไปยังสังคมคาร์บอนต่ำ บริษัทตระหนักถึงความสำคัญในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราจึงได้จัดให้มีแนวทางของบริษัทในการมีส่วนร่วมในนโยบายสาธารณะและการเป็นสมาชิกสมาคมการค้าในทุกหน่วยธุรกิจที่เราดำเนินการอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับข้อตกลงปารีสที่จำกัดอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส ในขณะที่เรายังคงมุ่งมั่นในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
บริษัทจัดให้มีโครงสร้างการจัดการและกระบวนการการมีส่วนร่วมในนโยบายสาธารณะและการเป็นสมาชิกสมาคมการค้า เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปยังสังคมคาร์บอนต่ำ โดยมีประธานคณะบริหารเป็นผู้บริหารสูงสุดที่รับผิดชอบในการตัดสินใจถึงทิศทางในการมีส่วนร่วมและติดตามผลจากการมีส่วนร่วมนั้น ผู้บริหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพิจารณา ตัดสินใจและดำเนินการตามบทบาทและกระบวนการในการมีส่วนร่วม และรายงานผลให้ประธานคณะบริหารทราบอย่างสม่ำเสมอ
บริษัทมีการทบทวนและติดตามสถานะของการมีส่วนร่วมในนโยบายสาธารณะและการเป็นสมาชิกสมาคมการค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดการผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หากจุดยืนของสมาคมการค้าในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินงานของบริษัท เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะดำเนินการเพื่อปรับการดำเนินการของสมาคมการค้านั้นให้กลับมาสอดคล้องกับทิศทางของบริษัทเพื่อให้ก้าวไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งเป็นการเร่งให้เกิดความสำเร็จของเส้นทางไปสู่คาร์บอนต่ำของบริษัท ของประเทศ และของโลกด้วยเครื่องมือด้านสภาพภูมิอากาศทั้งจากภาครัฐและเอกชน
สมาคม/ สถาบัน รายละเอียด
1 The Science Based Target initiative (SBTi) ซีพีเอฟมุ่งมั่นสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ตลอดห่วงโซ่คุณค่าภายในปี 2593 และเป็นบริษัทผลิตอาหารแห่งแรกในโลก ที่ได้รับอนุมัติทั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว สอดคล้องตามมาตรฐาน Forest, Land and Agriculture (FLAG) ซึ่งเป็นมาตรฐานเฉพาะสำหรับภาคเกษตรและอาหาร จากองค์กร the Science Based Targets initiative (SBTi) เทียบกับปีฐาน 2563 ซีพีเอฟตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 42% และ 90% สำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประเภท non-FLAG ภายปี 2573 และปี 2593 ตามลำดับ รวมทั้ง 30.3% และ 72% สำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประเภท FLAG ภายปี 2573 และปี 2593 ตามลำดับ นอกจากนี้เรายังกำหนดเป้าหมายต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่าสำหรับสินค้าหลักที่มีความเชื่อมโยงกับการตัดไม้ทำลายป่า ภายในปี 2568
2 สภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (WBCSD) โครงการด้านเกษตรและอาหาร หรือ Agriculture and Food Pathway (F&A) ความร่วมมือระดับโลกของสมาชิกในการหาวิธีการทางธุรกิจที่ก้าวหน้าเพื่อปรับเปลี่ยนระบบเกษตรและอาหาร ให้บรรลุระบบอาหารฟื้นฟูและมีความเสมอภาค บริษัทเป็นสมาชิกที่มีบทบาทในกลุ่มการทำงานด้านเกษตรกรรมและอาหาร ซึ่งมุ่งเน้นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านนวัตกรรม การเกษตรที่ยั่งยืน และอาหารที่ยั่งยืน WBCSD มีส่วนร่วมอย่างสม่ำเสมอกับผู้กำหนดนโยบาย เพื่อเป็นตัวแทนของภาคเอกชนในการผลักดันการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลก
3 สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายท้องถิ่นในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญระดับโลกด้านความยั่งยืน เครือข่ายนี้ทำงานร่วมกันเพื่อวางแผนกลยุทธ์และผลันดันการดำเนินงาน มุ่งบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนทางสังคม โดยเน้นด้านสิ่งแวดล้อมในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เครือข่ายนี้ช่วยให้มีการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดและโอกาสในการร่วมกันขับเคลื่อนความมุ่งมั่นระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทย นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับหน่วยงานของรัฐอย่างสม่ำเสมอเพื่อเป็นตัวแทนของภาคเอกชนในการผลักดันการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับ ESG
4 โครงการ Seafood Business for Ocean Stewardship (SeaBOS) Seafood Business for Ocean Stewardship หรือ SeaBOS เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาคส่วนที่หลากหลายในอุตสาหกรรมอาหารทะเลโลก โดยมีบริษัทอาหารทะเลขนาดใหญ่ที่สุด 8 แห่งของโลกเข้าร่วมทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในการก้าวสู่การผลิตอาหารทะเลที่ยั่งยืน มหาสมุทรที่มีความอุดมสมบูรณ์ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ความร่วมมือนี้ทำงานผ่านคณะทำงานในหลายมิติ หนึ่งในนั้นคือความสามารถในการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การลดการปล่อยก๊าซให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางวิทยาศาสตร์ นวัตกรรมในการดำเนินงานและห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการเปิดเผยผลการดำเนินงานต่อสาธารณะ
5 เครือข่ายธุรกิจห่วงโซ่อุปทานแห่งประเทศไทย (TSCN) ซีพีเอฟ พร้อมด้วยบริษัทเอกชนชั้นนำ 8 บริษัท ร่วมก่อตั้งเครือข่ายธุรกิจห่วงโซ่อุปทานแห่งประเทศไทย ในปี 2562 โดยมีวัตถุประสงค์มุ่งสร้างความร่วมมือระหว่างบริษัทผู้ประกอบการ ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล องค์ความรู้และประสบการณ์ โดยเครือข่ายสนับสนุนธุรกิจไทยในการปฏิบัติตามแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ตลอดห่วงโซ่อุปทานทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซีพีเอฟมีบทบาทอย่างยิ่งในการดำเนินงานด้านความยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งเน้นการบูรณาการกรอบ ESG การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และการติดตามกฎระเบียบที่เกิดขึ้นใหม่ เครือข่ายยังเปิดโอกาสให้สมาชิกแลกเปลี่ยน มีส่วนร่วม และมีส่วนร่วมในการร่างนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างสม่ำเสมอ
6 สถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม (TIPMSE) สถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ TIPMSE เป็นองค์กรที่ถูกก่อตั้งด้วยความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน และกลุ่มอุตสาหกรรมภายใต้การกำกับดูแลของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมุ่งลดปริมาณบรรจุภัณฑ์ใข้แล้วในขยะทั่วประเทศ สถาบันส่งเสริมระบบการบริหารจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วและวัสดุรีไซเคิลที่เหมาะสม เน้นให้ขยะบรรจุภัณฑ์ถูกจัดการและรีไซเคิลอย่างมีประสิทธิภาพ ผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียน และมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในวงจรชีวิตบรรจุภัณฑ์ (Packaging lifecycle)
7 คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย) ที่ปรึกษาซีพีเอฟและผู้แทนสำนักติดตามกฎระเบียบการค้า ได้เป็นตัวแทนสภาหอการค้าฯ และสภาอุตสาหกรรมฯ เข้าร่วมเป็นคณะทำงานด้าน Climate Change เพื่อจัดทำข้อเสนอของภาคธุรกิจในการติดตามและผลักดันนโยบายของไทยที่สนับสนุนเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของไทยและภาคธุรกิจ รวมถึงการให้ความเห็นต่อการ พรบ. Climate change และมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
8 สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย - ผู้แทนสำนักติดตามกฎระเบียบการค้า ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนหลักของสภาหอการค้าฯ ด้านการลดก๊าซเรือนกระจกด้านเกษตร และได้เข้าร่วมเป็นอนุกรรมการ ในคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตรของไทย กำหนดเป้าหมายภาคเกษตรเพื่อบรรจุใน National Determined Contributions ของประเทศ
- นำเสนอให้มีการยกระดับความเข้าใจเรื่องการลด GHG ภาคเกษตรต้นน้ำให้มากขึ้น ด้วยการจัดกิจกรรมต่อสมาชิกสภาหอการค้าฯ และเครือข่ายเกษตรกร เช่น สัมมนา, อบรม
9 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้แทนสำนักติดตามกฎระเบียบการค้า ได้เข้าร่วมเป็น คณะทำงานส่งเสริมและสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคอุตสาหกรรม เพื่อร่วมกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมในการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมและสมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม โดยผู้แทนฯ มุ่งเน้นให้สมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมฯ เข้าใจและดำเนินการวัดคาร์บอนในสินค้า เช่น ประสานหน่วยงานรัฐ เช่น องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ให้สนับสนุนด้านองค์ความรู้
10 สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย

ซีพีเอฟสนับสนุนนโยบายสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย มุ่งสู่การเป็นห่วงโซ่อุปทานปศุสัตว์ที่ยั่งยืน ดังนี้

1. การผลักดันการลดก๊าซเรือนกระจกวัตถุดิบอาหารสัตว์ 3 ชนิด คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ข้าว โดยได้ร่วมมือกับภาคส่วนอื่นๆ ในการสนับสนุนการวัดและการลดฯ เชิงโครงการวิจัย เช่น

- กรมวิชาการเกษตร (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง) : สมาคมมีมติมอบหมายที่ปรึกษา เป็นผู้แทนสมาคมเข้าร่วมกำหนดเนื้อหาโครงการกับกรมฯ

- สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) : การประเมินความยั่งยืนการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และการปล่อย GHG

2. จัดตั้งสำนักงานปศุสัตว์ยั่งยืน ในสมาคมฯ โดยให้ผู้แทนสำนักติดตามกฎระเบียบการค้าเป็นผู้จัดการ ผู้จัดการสำนักงาน

11 สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย

ซีพีเอฟ ร่วมสนับสนุนสมาคมผู้ผลิตไก่ส่งออกไทยในโครงการวิจัย ดังต่อไปนี้

- โครงการการประเมินความยั่งยืนในมิติด้านสิ่งแวดล้อมของการทำเกษตรเชิงพื้นที่ กรณีศึกษา อ.แม่แจ่ม จ.เชียงราย (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์)

- โครงการลดก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่ปศุสัตว์ไทย (ในส่วนการวัด GHG การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์)

12 สมาพันธ์ปศุสัตว์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (สมาคมด้านธุรกิจปศุสัตว์และ กุ้ง ปลา รวม 11 สมาคม) ยกระดับความเข้าใจสมาชิกของสมาพันธ์ฯ ด้วยการให้ข้อมูลและเชิญเข้าร่วมกิจกรรม เช่น ประชุมเชิงปฏิบัติการ: อุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทยสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
13 สมาคมผู้นำเข้าและผู้ส่งออกระดับมาตรฐานเออีโอ ซีพีเอฟมอบหมายที่ปรึกษาเป็นนายกสมาคมฯ และนำเสนอให้สมาชิกมีความตระหนักเรื่องคาร์บอน และมีการจัดกิจกรรมให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง
14 โครงการ Project Gigaton ของ Walmart ซีพีเอฟเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Project Gigaton ริเริ่มโดย Walmart ในปี 2560 โดยโครงการนี้เน้นการมีส่วนร่วมในการร่วมจัดการความท้าทายของสภาพภูมิอากาศ (Climate actions) ของคู่ค้า องค์กรเอกชนเพื่อสาธารณประโยชน์ (NGOs) และผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ มีวัตถุประสงค์เพื่อลดและหลีกเลี่ยงก๊าซเรือนกระจก จำนวน 1 พันล้านตัน (a gigaton) ในห่วงโซ่คุณค่าโลกภายในปี 2573 โดยในปี 2567 บริษัท C.P. Foods Product Inc., ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของซีพีเอฟได้รับรางวัลคู่ค้าด้านความยั่งยืน ‘Gigaguru’
15 สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (ESG Network) สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทยเกิดจากความร่วมมือระหว่างบริษัทจดทะเบียนและบริษัทรับอนุญาต เพื่อสร้างพื้นที่ในการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนแนวคิดด้าน ESG รวมไปถึงการสนับสนุนการผนวกความยั่งยืนเข้าไปในการดำเนินธุรกิจ โดยบริษัทมุ่งทำงานร่วมกับภาคประชาสังคม และภาครัฐในการสร้างผลลัพธ์เชิงบวกและความยั่งยืนในระดับประเทศ
การดำเนินการ
cpfworldwide.com ใช้คุกกี้บนเว็บไซต์นี้เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)
x